สสส.เผยข่าวความรุนแรงในครอบครัว ปี 65 เพิ่มจากปี 64 กว่า 3 เท่า ปัจจัยร่วมที่ทำให้คู่รักเปลี่ยนไป ยาเสพติด-การพนัน-เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เผย “นอกใจ” คือ พฤติกรรมทำให้รักเป็นพิษมากที่สุด พร้อมสานพลังเครือข่าย เปิดพื้นที่ส่งสัญญาณเตือน Love is not toxic รักไม่เป็นพิษ เลี่ยงปัจจัยเสี่ยงก่อนเกิดความรุนแรง
เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2567 มูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เครือข่ายลดปัจจัยเสี่ยง และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาวะ (สสส.) จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในโอกาสวันวาเลนไทน์ ประจำปี 2567 “Love is not toxic รักไม่เป็นพิษ”โดยมีการเสวนา เรื่อง “สัญญาณเตือน…ก่อนรักเป็นพิษ และการจัดการความสัมพันธ์” นอกจากนี้ยังมีการแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เยาวชนรวมพลังร่วมปกป้องสังคม ลดความเสี่ยงปัญหาความรักที่นำไปสู่ความรุนแรง
นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สสส. กล่าวว่า เนื่องในวันแห่งความรัก สสส. ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสานพลังให้ทุกคนอยู่ร่วมในสังคมด้วยความความรักเกื้อกูลกัน สื่อสารการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่เป็นพิษ (Toxic) และรู้จักสัญญาณเตือนที่อาจจะนำไปสู่การใช้ความรุนแรง ทั้งความคิด คำพูด พฤติกรรม ที่สำคัญคืออยู่ให้ห่างจากปัจจัยกระตุ้นรักที่เป็นพิษ ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาเสพติด พนัน จากข้อมูลของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล รวบรวมข่าวความรุนแรงในครอบครัวที่เผยแพร่ผ่านสื่อ ปี 2565 มีถึง 1,131 เหตุการณ์ เพิ่มจากปี 2564 กว่า 3 เท่า โดยมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้น 347 ข่าว คิดเป็น 30.7% และยาเสพติด 272 ข่าว คิดเป็น 24% ขณะที่เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง สำรวจเยาวชนอายุ 13-25 ปี รวม 2,000 คน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ช่วงต้นเดือนก.พ. 2567 พบปัจจัยร่วมที่เข้ามามีส่วนทำให้คู่รักเปลี่ยนไป อันดับ 1 ยาเสพติด อันดับ 2 การพนัน และ อันดับ 3 เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
“แม้ว่าผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 พบเยาวชนอายุ 15-24 ปี ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 1.9 ล้านคน หรือ 20.9% ซึ่งลดลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่เยาวชนในกลุ่มอายุนี้ยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่เกิดอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุด ขณะที่ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ปี 2564 มีเด็กและเยาวชนอายุ 15-25 ปี เล่นการพนัน 4.3 ล้านคน สะท้อนให้เห็นภาพความน่ากังวลของปัญหาเหล้า พนัน ยาเสพติดในเยาวชน ที่ชัดเจนว่าปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดปัญหา ส่งผลต่อสุขภาพ ความสัมพันธ์ โดยเฉพาะความรักของวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว ทั้งนี้ สสส. และภาคีเครือข่าย หวังให้ประชาชนมอบความรักแก่กันอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน พร้อมใช้ชีวิตห่างไกลจากปัจจัยเสี่ยงทุกรูปแบบ” นางสาวรุ่งอรุณ กล่าว
ด้านนางสาวปาลิณี ต่างสี ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง กล่าวว่า จากการการสำรวจความคิดเห็นเยาวชนอายุ 13-25 ปี ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 2,000 ตัวอย่าง ช่วงต้นเดือนก.พ. ปี 2567 เรื่อง Love is not toxic รักไม่เป็นพิษ พบว่าพฤติกรรมที่ทำให้รักเป็นพิษมากที่สุดคือการนอกใจ 45.55% การลดทอนคุณค่า 42.85% ใช้ความรุนแรงทั้งคำพูดและการกระทำ 37.1% ความคาดหวัง การกดดัน 33.3% การแสดงความเป็นเจ้าของ 32.2% ความเงียบ ถามไม่ตอบ 28.8% ดื่มเหล้าเล่นพนัน ใช้ยาเสพติด 15.75% ชอบเหวี่ยงชอบวีน 15.1% โมโหร้าย ทำลายข้าวของ 14.6% ขึ้นเสียง แสดงอำนาจ ชักสีหน้าใส่ 14.6% เอาเรื่องส่วนตัวไปเล่าให้คนอื่นฟัง 7.6% ติดเที่ยวกลางคืน ปาร์ตี้ 6.45% เอาเปรียบเรื่องเงิน 5.55%เมื่อเกิดปัญหาแล้วเลือกที่จะปรึกษามากที่สุดคือ เพื่อน 62.05% พ่อแม่ คนในครอบครัว 21.6% ครู อาจารย์ 9.5% และสื่อออนไลน์ 3.75 %
“สาเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรงคือการควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ 42.1% การเลี้ยงดูจากครอบครัว 17.75% ประสบการณ์ชีวิต 10.7% พฤติกรรมเลียนแบบจากคนในครอบครัวที่ใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 7.85% ความเชื่อส่วนบุคคล 6.05% จิตเวช 5.7% เกม 5% สื่อซีรีส์หนัง 3.15% ส่วนปัจจัยร่วมที่ทำให้คู่รักเปลี่ยนไปคือยาเสพติด 58.7% พนัน 48.6% เหล้า 43.35% ติดโซเชียลมีเดีย 39.35% การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ลงตัว 38.1% ติดหนี้ 34.3% เกม 32.25%” นางสาวปาลิณี กล่าว
นางสาวปาลิณี กล่าวต่อว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้นพบว่ามีการโพสต์ข้อความทางโซเชียลเพื่อระบายปัญหาความสัมพันธ์ของคู่รักมากที่สุด 36.55% โพสต์เพื่อตำหนิ หรือประชด 35.6% โพสต์โอ้อวด 14.9% โพสต์เพื่อเรียกร้องความสนใจของคู่รัก 12.55% ส่วนวิธีแก้ปัญหาอันดับแรกคือ จัดการด้วยการพาตัวเองออกจากความสัมพันธ์ หรือเลิก 42.3% สร้างพื้นที่ปลอดภัย สบายใจ 34.3% หากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ธรรมะ เล่นเกม 16.05% แสดงความอ่อนแอ ร้องไห้ 4.9%
“สังคมของวัยรุ่นเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ที่ Toxic น่าเป็นห่วง เพราะเป็นสัญญาณเตือนที่อาจจะนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า และการใช้ความรุนแรงระหว่างคู่รัก และเห็นปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามาเป็นปัจจัยร่วมที่จะทำให้ความรักเกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด พนัน เหล้า ซึ่งพวกเราอาจจะต้อง รับรู้ เข้าใจปัญหา และร่วมกันหาทางออกกับปัญหาเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การสำรวจพบว่า ยังมีคำพูดดีๆ ที่สามารถฮีลใจ หรือทำให้รู้สึกดีขึ้นคือ เหนื่อยมั้ย 72.2% สู้ๆ นะ คุณโอเคมั้ย 50.7% รักนะจุ๊บๆ 49.5% กอดนะ 47.85% เป็นห่วงนะ 45% กินอะไรมาหรือยัง 38.95% เงินไม่พอบอกนะ 37.1% วันหยุดนี้ไปเที่ยวไหนดี 34.75% ทำทุกอย่างเพื่อเรานะ 23.3%” นางสาวปาลิณี กล่าว
นางสาวฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ หรือ “เชียร์” นักแสดงชื่อดัง กล่าวว่า แนวคิดการพูดกับตัวเอง ใจดีกับตัวเอง ชื่นชมตัวเองให้มาก เป็นหลักการที่ดีมากช่วยให้เราสามารถก้าวข้ามอุปสรรคอย่างมีความหวังได้ จากที่คนทั่วไป เวลาที่ทำอะไรผิดพลาด หรือไม่ได้ดั่งใจ มักจะกล่าวโทษตัวเอง เช่น ตอนที่ตนไปต่างประเทศ แล้วถูกขโมยนาฬิกาซึ่งมีมูลค่าสูง แล้วเอาแต่โทษตัวเอง จะโทรไปหาที่บ้าน ยังคิดว่า ต้องถูกตำหนิกลับมาแน่ๆ แต่ในความเป็นจริง ครอบครัวกลับบอกว่า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแค่ไหนแล้ว” ทำให้ความรู้สึกที่ดิ่งลึกแล้วกลับมาได้
นอกจากนี้ ในอดีตตนเคยเจอคำพูดเชิงตำหนิรูปร่าง แล้วมีคนหัวเราะ เห็นด้วย คนที่พูด คนที่หัวเราะเขาผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เรากลับผ่านไปไม่ได้ ทำให้ไม่มีความสุข ไม่อยากไปกองถ่าย ไม่กล้ายืนหน้า แต่ที่ผ่านมาได้เพราะสุดท้ายพยายามบอกกับตัวเองว่าเรารู้สึกไปก็เท่านั้น เราจะให้ค่ากับคนเหล่านั้นจริงๆ หรือ เพราะหากเราผ่านไปไม่ได้ก็ทำให้เราทำผลงานออกมาไม่ดี คนที่ได้รับคำตำหนิก็เป็นตัวเรา ส่วนความรักเหมือนถูกควบคุมโดยไม่รู้ตัว จากการยอมทุกอย่าง รู้ตัวอีกทีก็เสียความเป็นตัวตนแล้ว พอจะทำอะไรที่เป็นเรื่องของเราเองก็กังวลว่าจะทำได้หรือไม่ พูดได้หรือไม่ และก็ไม่กล้าเอ่ยปากว่าเราต้องการอะไร ดังนั้นการพูดคุยกับตัวเอง ชมตัวเอง รักตัวเอง เป็นเรื่องสำคัญ ส่วนสังคมก็สามารถนำหลักการสื่อสารด้วยคำชม หรือแสดงความห่วงใยก่อนตำหนิ เพราะในเรื่องร้ายอาจจะยังมีเรื่องที่ดีอยู่